ก่อนอื่น ขอให้คุณลืมตำราหรือหนังสือการบริหารจัดการอะไรก็ตามที่เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วมักต้องไปแสวงหามาอ่านก่อนจะลุยทำธุรกิจ ที่บอกว่าให้ลืมไปก่อน ไม่ได้บอกให้ทิ้งไปนะครับ เพราะยังมีความจำเป็นมากในการทำธุรกิจที่กูรูหลายท่านได้อุตส่าห์เขียนเอาไว้ให้อ่านกัน แต่อยากจะให้ลืมชั่วคราว เพราะให้ใช้ "หัวใจ" ล้วนๆ ในการอ่านต่อไปนี้
1. ฝันให้ไกลแล้วถึงไปให้ถึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่อยากจะพูดถึง เพราะความฝันนั้นเป็นสิ่งสวยงามเสมอ เป็นกรรมสิทธ์ที่ทุกคนมีและที่สำคัญมันฟรีเสียด้วยครับ จะฝันแค่ไหนฝันใหญ่หรือฝันเล็กก็เป็นเรื่องของเราทั้งสิ้น แบบที่ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ เคยพูดไว้อย่างน่าฟังมากว่า
"ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเอง ด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆกระทำจนเป็นนิสัย ในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญความฝันไม่เสียสตางค์
คนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความฝันครับ ไม่ว่าวันนี้เราจะพบวิกฤตในชีวิตแค่ไหน เรายังมีสถานะที่เป็นลูกจ้าง หรือแม้แต่ยังไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่บาทเดียว แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะฝันเห็นตัวเองได้ทำในสิ่งที่รักและที่สำคัญต้องสำเร็จด้วย
หลายคนเรียกว่า "กฎแห่งแรงดึงดูด ยิ่งเราฝันแบบมีจินตนาการเห็นภาพตัวเองมีเงินทอง มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เห็นร้านของตัวเองที่มีคนเนื่องแน่น เห็นรอยยิ้มของลูกค้าเห็นภาพตัวเองตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะฝันแบบไหนเอาให้แบบสุดๆ ไปเลย หลายคนที่ประสบความสำเร็จเล่าให้ฟังว่าเขาฝันถึงขั้นมีกลิ่น มีเสียงประกอบด้วย ซึ่งถือว่าสุดยอดมากฝันบ่อยๆ นะครับฝันดีแบบนี้ แล้วความสำเร็จจะมาหาคุณในไม่ช้าอย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงเลยก็ได้
2. ทิศทางสำคัญกว่าความเร็ว
เรื่องนี้ก็สำคัญมากเหมือนกัน คุณต้องเข้าใจถึงเป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ ในชีวิต บางคนต้องการเงิน บางคนต้องการความสุขในชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากแต่ขอให้มีมิตรภาพมาก หลายคนที่ทำธุรกิจไอเดียเพราะอยากให้คนที่ใช้นั้นมีความสุข หรือได้รับประทานอาหารดีๆ ที่เราเพียรทำอย่างสุดฝีมือ หลายคนต้องการความโด่งดังเพียงชั่วข้ามคืนแบบโลกตะลึง
จงรักษา "จุดยืน" ในเรื่องนี้ของตนไว้ให้มั่นคง อย่าสั่นคลอน
ไม่แปลกที่ว่าเราอยากจะได้แบบไหน แต่มันสำคัญตรงที่ว่าเราอย่าหลงทิศทางต่างหาก บางครั้งการมุ่งหน้าด้วยความร้อนรน ขาดหลักการขาดความรู้ที่ถูกต้อง อาจจะพาเราไปสู่หายนะด้วยมือของตัวเองก็ได้
นักธุรกิจมากมายในโลกนี้ที่ประสบความสำเร็จเขาจะมีหลักการหรือจุดยืนอย่างมั่นคง ด้วยการทำให้ดีที่สุดหรือรักลูกค้าให้มากที่สุด เขาจึงทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกค้ามีความสุข ทั้งคุณภาพ ราคา การบริการที่มาจากหัวใจที่ "ดี" คิดดี ทำดี พูดดี บางครั้งความสำเร็จมันอาจจะมาช้า แต่ถ้าทิศทางเราถูกต้อง ไม่ว่านานแค่ไหนเราก็ทำสำเร็จได้ ถ้าเราไม่ท้อไม่ถอดใจไปเสียก่อน
3. ค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง
หลายคนบอกว่าน่าจะพูดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ก็แล้วแต่จะคิดในส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่าใน 2 เรื่องแรกเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ถือว่าสำคัญมากเช่นกัน หากเราไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นใคร รักและชอบอะไร ก็จะประสบความสำเร็จได้ยากในธุรกิจนี้
เพราะหากเรารู้จักตัวเองดีพอ เอาสิ่งที่เราถนัดที่สุด เอาความเชี่ยวชาญที่เหนือคนอื่น (ไม่ว่าจะคิดไปเองก็ตาม) ออกมา ทำมันอย่างมีความสุขบนเส้นทางฝัน วันเวลาที่มันอาจจะดูเหมือนเหนื่อยยาก แต่เอาเข้าจริงๆ เราอาจจะไม่รู้สึกเลยว่ามันเหนื่อยเลยก็ได้
ความถนัดและความเชี่ยวชาญที่พูดถึงจะต้องนำมาใช้ในธุรกิจเพราะคุณต้องรู้หมดทุกขั้นตอนในการทำงาน
เรื่องนี้สำคัญมาก หลายคนบอกว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่เทวดาจะไปเก่งหรือรู้ทั้งหมดได้อย่างไร" เรื่องนี้มีทางแก้ ซึ่งกูรูทางธุรกิจและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเขาใช้เครื่องมือหรือตัวช่วยเข้ามาคือ "การถาม"
คุณตัน ภาสกรนที ก่อนจะมาทำภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น "โออิชิ” คุณตันก็ทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็นครับ แต่คุณตันเก่งในเรื่องการบริหารจัดการที่เรียกว่าไร้เทียมทาน จึงเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็งโดยใช้การถาม ที่ไล่ถามไปหมดทั้งคนที่สำเร็จหรือแม้แต่คนที่ล้มเหลว เอาคำตอบเหล่านั้นมาเป็นครู อะไรที่ดีก็เก็บไว้ อะไรที่ไม่ดีก็ถือว่าจะได้รู้ทางว่าถ้าทำแบบนี้เจ๊งแน่ก็จะไม่ทำ
ตัวช่วยต่อไปก็คือ "หาคนดี คนเก่งมาช่วย" เรื่องนี้เรียกว่าเป็นอีกทางลัดในการทำธุรกิจ ที่รู้จักกันดีนั่นคือ การหาพันธมิตรมาช่วย ซึ่งจะมาเสริมในสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ว่าจะเข้ามาในแบบไหน ลูกน้อง หุ้นส่วน คู่ค้าก็แล้วแต่พิจารณา
ที่เขียนว่าควรหาทั้งคนดีและคนเก่งนั้นก็เพราะ คนดีหากยิ่งเป็นคนเก่งด้วยทำอะไรร่วมกันก็จะสำเร็จ แต่ถ้า "เก่ง" อย่างเดียว แล้วดันเป็นคนคดโกง รับรองว่าพาเราลงเหวแน่ เพราะสันดอนนั้นขุดได้ แต่สันดานขุดไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้
ดังนั้นจะเลือกใครมาช่วยดูให้ดีๆก่อนนะครับ คนดีสร้างให้เป็นคนเก่งได้ แต่คนเก่งสร้างให้เป็นคนดีมันยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา อย่าเสียเวลากับคนประเภท "ไม่ดี" เลยนะครับ เอาเวลาไปทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จด้วยพลังเร็วและแรงของเราดีกว่าต้องมีคนมาถ่วงเราไว้
ต่อไปคือ "ใช้เทคโนโลยีช่วย" มีคนมากมายที่ทำธุรกิจสำเร็จและเร็วกว่าคนอื่น เพราะรู้จักเอา “เทคในโลยี” มาช่วยทำให้ทำงานได้สะดวกและเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่เราว่าควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสมอย่างไร
ขอแนะนำว่าก่อนที่จะเริ่มต้นสู่การประกอบธุรกิจของตนเองนั้น คุณจะต้องตัดสินใจเลือกประเภทของธุรกิจที่คุณจะทำ หากแต่การเลือกธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวคุณจริงๆ นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ที่เคยเป็นแต่ลูกจ้างมาชั่วชีวิต
แม้ทุกคนจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้ทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า"ใครจะสามารถเริ่มต้นก้าวแรกได้มั่นคงแข็งแรงมากพอที่จะทำให้ก้าวต่อๆไปไม่ล้มคะมำไปเสียก่อน"
มีคนที่เพิ่งเริ่มจะทำธุรกิจมากมายที่มักจะรีบร้อน และคิดว่า "เริ่มก่อนได้เปรียบ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้จะมีบางธุรกิจที่ผู้ที่เริ่มก่อนมักจะได้เปรียบในการแบ่งส่วนทางการตลาด แต่อย่างไรก็ตามการจะเริ่มต้นส่งๆ ไปก่อนนั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักพบเจอก็คือ การเลือกธุรกิจที่ไม่เหมาะกับตัวเอง ดังนั้นก่อนจะคิดอะไรไปไกล ควรถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า "คุณอยากทำอะไรกันแน่?" หากว่าคุณยังไม่ได้ตัดสินใจ ก็ลองถามใจตัวเองด้วยวิธีนี้ดูก็ได้
- หากระดาษเปล่ามาสักปึก เขียนกิจกรรมที่คุณชอบที่สุดลงไปที่ด้านบนของกระดาษ โดยเขียนแยกลงในแต่ละแผ่นเหมือนกับเป็นหัวข้อ
- นึกถึงธุรกิจอะไรก็ได้ที่คุณคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมนั้นๆ
- ลิสต์รายชื่อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเท่าที่พอจะนึกออกก็พอ พลางจินตนาการถึงสินค้าหรือบริการที่คุณน่าจะทำได้
- ทำลิสต์ธุรกิจที่คิดว่าเหมาะกับคุณ ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้
- สุดท้ายให้ใช้เวลาพิจารณาเลือกแค่ 1 ใน 3 นั้นแล้วลองพัฒนาความคิดต่อว่า คุณรู้จักในสิ่งที่คุณจะทำดีแค่ไหน
4. รู้จักธุรกิจที่ตนเองจะทำดีพอ
การทำธุรกิจนั้นก็เหมือนกับการคบเพื่อนดีๆ สักคนที่เราต้องรู้จักทุกอย่างของเพื่อนรู้ทั้งส่วนดี ส่วนไม่ดี ความจริงทั้งหลายที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเรียกกันแบบภาษาการตลาดเขาเรียกว่า "การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของธุรกิจ"
ซึ่งกูรูทางธุรกิจท่านหนึ่งคือ คุณคุณัชญ์ เศวตราราดล ผู้จัดการศูนย์บริการร่วมลงทุนและพี่เลี้ยง SMEs ประจำภูมิภาค (จ.สงขลา) โครงการศูนย์บริการร่วมลงทุนและพี่เลี้ยง SMEs ประจำภูมิภาค สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เคยกล่าวไว้น่าสนใจมากว่าเราต้องสามารถใช้หลักความมีเหตุมีผลในการวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดี ธุรกิจที่เราทำนั้นถึงจะรอด โดยทั่วไปในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของธุรกิจจะใช้หลักการวิเคราะห์จากปัจัยภายใน ได้แก่ จุดแข็งและจุดอ่อนจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ โอกาสและอุปสรรค ซึ่งหากใช้หลักความพอประมาณและมีเหตุผลแล้ว จะทำให้ธุรกิจมองเห็นทิศทางต่างๆ รอบด้านในการนำไปกำหนดกลยุทธ์และป้องกันความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของธุรกิจจึงควรยึดหลัก “4 ไม่" ดังต่อไปนี้
- จุดแข็ง "ไม่" เข้าข้างตัวเอง
- จุดอ่อน "ไม่" มีใครดีกว่าตัวเอง
- โอกาส "ไม่" มองโลกในแง่ดีเกินไป
- อุปสรรค "ไม่" รอความช่วยเหลือจากภายนอก
จุดแข็ง - ไม่เข้าข้างตัวเอง คือการไม่มองตัวเองว่ามีจุดที่ดีกว่าคู่แข่งในทุกๆ เรื่อง ควรมองหาสิ่งที่ตนเองดีกว่าแต่คู่แข่งยังไม่มีหรือสู้ไม่ได้จริงๆ รวมทั้งอย่าเอาตนองไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ด้อยกว่า ฯลฯ
จุดอ่อน - ไม่มีใครดีเท่าตัวเอง คือการมองไม่เห็นจุดอ่อนของตัวเองทำให้ประเมินคู่แข่งต่ำเกินไป ไม่มีข้อมูลของคู่แข่งอย่างเพียงพอเรียกว่าไม่รู้เขา ไม่รู้เรา รบร้อยครั้งก็รับรองว่าแพ้ร้อยครั้ง
โอกาส - ไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป คือการมองโลกในด้านเดียวไม่ได้ประมาณและวิคราะห์เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุมีผล เช่น มองว่าความต้องการอาหารทะเลแปรรูปมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ไม่ได้มองว่าจะหาวัตถุดิบได้จากที่ไหน
อุปสรรค - ไม่รอความช่วยเหลือจากภายนอก คือการคิดว่าจะมีหน่วยงานภายนอกหรือมือที่มองไม่เห็นมาช่วยแก้ปัญหาให้ เช่น คิดว่าเดี๋ยวเศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาเอง มีหน่วยงานช่วยเหลืออยู่แล้ว หรือเดี๋ยวรัฐก็เอาเงินมาให้และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เป็นต้น
ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเขาจะไม่ไปรอความหวังลมๆ แล้งๆ พวกนี้ เขาจะสู้ด้วยตัวเองจนถึงที่สุด หากมีใครมาช่วยก็ดีไปแต่ถ้าไม่มีก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะตัวเองได้ตั้งรับเหตุการณ์ทั้งหมดไว้แล้ว
ซึ่งหากใครสามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมได้อย่างมีเหตุมีผลและมีใจเป็นกลางแล้วนั้น ก็จะช่วยให้สามารถนำผลที่ได้ไปสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ธุรกิจ และยังช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ของธุรกิจได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
นอกจากนั้นก็ต้องเรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นของนักธุรกิจมือใหม่ด้วย ตัวอย่างเช่น
- ไม่ทำการวิจัยหรือสำรวจตลาดที่แท้จริงเพื่อดูว่า แนวคิดธุรกิจของเราสามารถพัฒนาหรือโตได้
- ประเมินสถานการณ์พลาด
- มองโลกในแง่ดีเกินไป คิดแต่บวกไม่มีแผนตั้งรับถ้าหากเกิดวิกฤตขึ้นมา
- จับคู่กับหุ้นส่วนที่ไม่จำเป็นหรือได้คนไม่ดีมาร่วมงาน จ้างคนเพราะเอาสะดวกเข้าว่าโดยไม่คำนึงถึงทักษะ ความสามารถ และทัศนคติ
- อดทนน้อยและท้อแท้ง่ายเกินไปที่จะรอคอยความสำเร็จได้
- ในการบริหารงาน มุ่งเน้นไปที่การทำยอดขายและการขยายขนาดของบริษัทมากกว่าการทำกำไร
- ขาดการวางเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจนในระยะยาว
เรื่องเหล่านี้ควรต้องคำนึงถึงให้มาก หากเราคิดว่าธุรกิจนี้คือชีวิต เมื่อจะให้ชีวิตดีต้องคิดให้รอบคอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
5. ปัจจัยที่ต้องมีในการเริ่มทำธุรกิจ
กูรูหลายๆ ท่านได้ศึกษามาแล้วว่าการที่ธุรกิจขนาดเล็กจะเริ่มต้นได้นั้นจะต้องมีปัจจัยที่สำคัญเหล่านี้ จึงจะมองเห็นความสำเร็จได้ นั่นคือความรู้ในเรื่องที่จะทำแบบเชี่ยวชาญ เหนือกว่า แตกต่างกว่าที่มีในท้องตลาด ทั้งในด้านของความรู้ที่เป็นวิชาการและความรู้ที่ได้จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา หรือการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่งของตัวเรา
- มี "หัวใจทอง" ที่ประกอบไปด้วยทัศนคติ ความอดทนอดกลั้นหรือความเต็มใจในการที่จะต้องทำงานหลายๆ ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายๆ เดือน และบางทีอาจเป็นปีโดยคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้รับรายได้
เท่าไร แต่ต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อไปถึงความฝันที่ตั้งใจไว้-มี "แผนทางธุรกิจ ถ้าจะทำธุรกิจแต่ไม่มีแผนธุรกิจที่ดีแล้วนั้นก็เปรียบเหมือนกับเรือที่ไม่มีหางเสือ ถึงตอนนี้ตำราทางธุรกิจทั้งหลายที่เตรียมไว้ก็เอาออกมาอ่านได้แล้วครับ แผนธุรกิจนั้นสำคัญมากจริงๆ คนมากมายที่มีความฝัน มีฝีมือ มีเงินทุนแต่ทำไม่สำเร็จ ก็เพราะเดินอย่างไร้ทิศทางนั่นเอง
- มี "เงินลงทุน" ทั้งที่เป็นเงินสดและทรัพย์สมบัติอื่นๆ เช่น สถานที่อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน และทุนทางสังคมถ้ายิ่งมีจะยิ่งดีมากๆ
- "การลงมือทำ" เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นถ้าคุณมัวแต่ฝันแล้วไม่ลงมือทำ มันก็ยังเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ที่พร้อมจะจางหายไปในอากาศเสมอ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วถ้าเรามีทุกอย่างที่พูดถึง นั่นแสดงถึงความน่าจะเป็นไปได้แล้วว่าเราน่าจะไปได้ดีกับการทำธุรกิจของตนเอง และสามารถเป็น "เจ้าของธุรกิจ" ได้ ในทางกลับกันถ้าคุณยังรู้สึกว่าสำหรับตัวคุณแล้วในตอนนี้ยังขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรืออาจมากกว่านั้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็จงถามตัวเองอีกครั้งว่า
"เราพร้อมและสู้จริงหรือเปล่า?"
ถ้า "หัวใจ" และ "สมอง" บอกว่า "พร้อมแล้ว!" ก็อย่ามัวช้ากันอีกเลยครับ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ามนุษย์ไม่ยอมแพ้สักอย่าง ตอนต่อไปเราจะไปดูกันถึงสู้ที่ลุยทำธุรกิจใหม่ๆ ด้วยไอเดียสุดยอดกันโดยให้ดูเพียงเป็นแนวทางในการเริ่มต้น การสู้ และการประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
สำหรับท่านที่สนใจจะทำธุรกิจกับคนต้นเรื่องหรือนักสู้ในเล่ม ก็ติดต่อกันได้เลยครับ ไม่แน่นะครับ บางทีหนังสือเล็กๆ เล่มนี้อาจจะทำให้คุณรวยไม่รู้เรื่องก็เป็นได้
โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ