รู้หรือไม่ว่าที่เรายอมจ่ายเงินให้กับกาแฟ
สเปเชียลตี้ (Specialty Coffee) ทั้งๆที่มีราคา
แพงกว่าเมล็ดกาแฟธรรมดา เพราะเหตุผลอะไร
และคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปมากน้อยแค่ไหน
ไปดูเหตุผลกัน
เมล็ดกาแฟสเปเชียลตี้ได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยต้องผ่านมาตรฐานจากสมาคมกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee Association - SCA) ซึ่งต้องได้คะแนนมากกว่า 80 คะแนนขึ้นไปจาก 100 คะแนน ในการประเมินคุณภาพ รสชาติซับซ้อน
กลิ่นหอมเด่นชัด และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2. แหล่งปลูกและสภาพแวดล้อม
ปลูกในพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศ ดิน และระดับความสูงที่เหมาะสมส่วนใหญ่มาจากแหล่งปลูกกาแฟชื่อดัง เช่น เอธิโอเปีย โคลอมเบีย ปานามา หรือบางแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีการดูแลรักษาและควบคุมกระบวนการปลูกอย่างใกล้ชิด
3. กระบวนการแปรรูป (Processing)
ผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างพิถีพิถัน เช่น Washed Process, Natural Process หรือ Honey Process
การแปรรูปแต่ละแบบต้องใช้เวลา ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญสูง
4. การเก็บเกี่ยวและคัดเลือกเมล็ด
เมล็ดกาแฟสเปเชียลตี้มักถูกเก็บเกี่ยวด้วยมือ (Hand-Picked) เพื่อเลือกเฉพาะเมล็ดที่สุกเต็มที่
มีการคัดแยกเมล็ดเสียหรือเมล็ดที่มีตำหนิออกไป
5. ความยั่งยืนและความเป็นธรรม (Sustainability & Fair Trade) เกษตรกรที่ปลูกกาแฟสเปเชียลตี้มักได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม (Fair Price)กระบวนการผลิตเน้นความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
6. ต้นทุนการผลิตและปริมาณการผลิตที่จำกัด
การดูแลที่ละเอียดอ่อนทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ปริมาณการผลิตต่อปีมักมีจำกัด เพราะต้องการรักษาคุณภาพ
7. ประสบการณ์การบริโภค
เมล็ดกาแฟสเปเชียลตี้มักมอบประสบการณ์การดื่มที่เหนือกว่า ทั้งรสชาติและกลิ่นที่ซับซ้อน
นักดื่มกาแฟหลายคนยินดีจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อคุณภาพที่ได้รับ
ดังนั้น...
ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนออกมาในราคาที่สูงขึ้นของกาแฟสเปเชียลตี้เมื่อเทียบกับกาแฟธรรมดา ซึ่งเน้นการผลิตในปริมาณมากโดยไม่เน้นคุณภาพเท่ากับกาแฟสเปเชียลตี้.


"สังคมแห่งการแบ่งปัน เพื่อนำไปสู่การต่อยอด"
ขอบคุณที่มา คนบ้ากาแฟ สเตชั่น
.