คำตอบอยู่ที่โครงสร้าง (Structure) และกระบวนการแปรรูป (Processing)
เวลาชงกาแฟแบบ Manual Brew ไม่ว่าจะเป็น Drip, Pour Over, Aeropress หรือ Syphon หนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ หลายคนละเลย คือช่วง Pre-infusion หรือช่วงที่เรารินน้ำเล็กน้อย ลงบนผงกาแฟ เพื่อให้กาแฟเริ่มดูดซึมน้ำ และปล่อยก๊าซ CO₂ ก่อนเริ่มสกัดจริง
การดูดซึมน้ำเร็วหรือช้าในช่วงนี้ส่งผลอย่างมากต่อ
-การปล่อยกลิ่นรส (Flavor release)
-ความสม่ำเสมอในการสกัด (Even extraction)
-การเกิดช่องทางน้ำไหลเฉพาะ (Channeling) ที่ทำให้รสกาแฟเพี้ยนได้ง่าย

3 ขั้นตอนสำคัญของการดูดซึมน้ำ (Water Uptake)
1. การดูดน้ำเข้าเซลล์ (Imbibition)
เมื่อน้ำสัมผัสกับผงกาแฟ จะซึมเข้าสู่รูพรุนต่างๆ ผ่าน แรงแคปปิลารี (Capillary Action)
แรงนี้ประกอบด้วย
-Adhesion: แรงที่ดึงน้ำให้เกาะกับผิวของผงกาแฟ
-Cohesion: แรงที่ดึงน้ำเข้าหากันเอง
น้ำจึงสามารถ “แทรกตัว” เข้าไปในผงกาแฟได้ แม้ไม่มีแรงโน้มถ่วงช่วย และยิ่งผิวกาแฟเปิด น้ำก็ซึมได้ไวขึ้น
2. การคายก๊าซ CO₂ (Degassing)
กาแฟคั่วสดจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ออกมาเมื่อโดนน้ำ
สิ่งนี้อาจทำให้น้ำถูกผลักออกชั่วขณะ ส่งผลให้การซึมน้ำในช่วงแรกไม่ราบรื่น
3. การอมน้ำ (Water Retention)
น้ำที่ซึมเข้าไปจะค้างอยู่ในผงกาแฟก่อนจะปล่อยสารละลายออกมาระหว่างการสกัด
กาแฟบางชนิด “อม” น้ำไว้นานกว่า ทำให้ต้องรอนานกว่าจะเริ่มสกัดได้เต็มที่
__________ __________ ___________

เปรียบเทียบลักษณะกาแฟตามกระบวนการแปรรูป (Processing Method)
1. Washed Process
กาแฟที่ผ่านการล้างเมือกและแช่น้ำอย่างเต็มรูปแบบ
พื้นผิวของเมล็ดจะเปิดสะอาด ไม่มีสารเคลือบผิว ทำให้น้ำ ซึมเข้าได้เร็วมาก
เพราะไม่มีสิ่งกีดขวาง แรงแคปปิลารีทำงานได้เต็มที่
-กาแฟประเภทนี้ “อม” น้ำน้อย น้ำจะปล่อยออกเร็ว และสามารถเริ่มการสกัดได้ภายในเวลา Pre-infusion แค่ 20–30 วินาที
เหมาะมากสำหรับมือใหม่ หรือการเทน้ำแบบเบาๆ
2. Honey Process
กาแฟที่ยังคงมีเมือก (mucilage) เคลือบอยู่บางส่วนในระหว่างการตาก พื้นผิวจึงมีความหนืดเล็กน้อย ทำให้น้ำ ซึมเข้าได้ในระดับปานกลาง
-กาแฟจะ “อม” น้ำในระดับกลาง เพราะแม้โครงสร้างจะยังเปิด แต่เยื่อบางส่วนช่วยยึดน้ำไว้
น้ำจะถูกปล่อยออกไม่เร็วไม่ช้า เหมาะกับการทำ Pre-infusion ประมาณ 30–40 วินาที
3. Natural Process
กาแฟที่ตากแห้งทั้งผลเชอร์รี (Whole Cherry) โดยไม่ล้างเมือก
หลังการบด พื้นผิวจะหยาบ และมีโครงสร้างแข็งจากเปลือกนอก
น้ำ ซึมเข้าได้ช้า เพราะโครงสร้างแน่นและหยาบ
-กาแฟชนิดนี้ “อม” น้ำสูง ต้องใช้เวลาให้เบดกาแฟดูดน้ำให้ทั่วถึงก่อนเริ่มสกัด
Pre-infusion ที่เหมาะสมคือ 40–60 วินาที เพื่อป้องกันปัญหา Channeling และช่วยให้ได้เนื้อสัมผัส (Body) ที่ดี
4. Anaerobic Fermentation (ใช้ร่วมกับ Natural หรือ Honey)
Anaerobic ไม่ใช่โพรเซสใหม่ แต่เป็นการเติมขั้นตอนหมักแบบไร้อากาศ (Fermentation in sealed tank) เข้าไป
-กาแฟที่หมักแบบนี้ มักจะยังมีเมือก หรือสารชีวภาพ (เช่น polysaccharide, mucilage, หรือ yeast biofilm) เคลือบผิว แม้โครงสร้างเซลล์จะเปราะ เพราะผ่านการหมัก แต่พื้นผิวจะเหนียว
น้ำจึงซึมเข้าได้ช้า และแปรผัน
ลักษณะการ “อม” น้ำจะ สูงและไม่สม่ำเสมอ – บางจุดในเบดดูดน้ำได้ทันที บางจุดยังแห้งอยู่
และภายในเมล็ดยังมี CO₂ สูงจากการหมัก ซึ่งยิ่งชะลอการปล่อยน้ำ
แนะนำให้ Pre-infusion อย่างน้อย 50–60 วินาที เพื่อให้เบดเปิดทั่วถึงและพร้อมสกัด

__________ __________ __________
ผลการทดลอง (ใช้กาแฟคั่วระดับสี 80–82)
-กาแฟ Washed ต้องการน้ำน้อย ซึมเร็ว ควบคุมง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
-กาแฟ Honey และ Natural ต้องใช้น้ำและเวลา Pre-infusion มากขึ้น เพื่อให้น้ำแทรกผ่านเยื่อหรือผิวสัมผัสที่หนืด
-กาแฟ Anaerobic ต้องใช้ทั้งปริมาณน้ำที่มากและเวลาที่นาน เพราะอมน้ำไม่สม่ำเสมอ และมี CO₂ ภายในสูง
__________ __________ __________
คำแนะนำเพิ่มเติมจากการทดลอง ^^
(ไม่ได้หมายความว่าวิธีนี้อร่อยที่สุด แต่ช่วยให้ควบคุมการสกัดได้ดีขึ้น)

กาแฟที่ สดใหม่ (คั่วไม่เกิน 7 วัน):
ใช้ Pre-infusion อย่างน้อย 1 เท่าของปริมาณกาแฟ หรือมากกว่า เพื่อช่วยไล่ CO₂ ออกก่อนเริ่มสกัด

กาแฟที่ พักแล้ว (rested) 2–4 สัปดาห์:
สามารถลดปริมาณน้ำลงได้ เพราะโครงสร้างเสถียรขึ้น ไม่คายก๊าซมาก

กาแฟ Natural และ Anaerobic:
ใช้ Pre-infusion 2–3 เท่า ของน้ำต่อกาแฟ และรอ 45–60 วินาที เพื่อให้เบดกาแฟเปิดครบทุกส่วน