เมื่อเอ่ยถึงนวัตกรรม คนส่วนใหญ่สรุปได้ทันทีว่าเป็นของใหม่ ยังไม่เคยมีมาก่อน และถ้ามีการใช้ เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ใส่ความเป็นดิจิทัลที่ช่วยให้รับรู้ข้อมูลนั้นๆได้ทันท่วงที ก็ยิ่งทำหให้ของใหม่นั้นน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่เชื่อไหมว่าของใหม่อาจไม่ประสบความสำหเร็จเสมอไป
มีเรื่องเล่าที่เหมือนจะตลกแต่ขำไม่ออกอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องเป็นดังนี้ มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งเล่าให้ Greg Satell ผู้แต่งหนังสือ Mapping Innovation ฟังว่า บริษัทของเขาชนะการประกวดออกแบบ คว้าเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยชิ้นงานนั้นคืออุปกรณ์เซ็นเซอร์ตรวจจับมลพิษ ใต้น้ำ เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถนำหไปใช้ได้หลายสถานการณ์ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แนวโน้มปัจจุบันที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ก็ทำหให้ทีมงานของเขาลงมือพัฒนาสินค้าดังกล่าว เพราะมองว่ามีอนาคตแน่ นี่เป็นปัญหาระดับโลกเชียวนะ
หลังจากระดมผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบไมโครชิปขนาดเล็ก ก็ได้ผลงานไมโครเซ็นเซอร์ที่พร้อมนำหไปทดสอบการลงน้ำทะเลจริงครั้งแรก หลังจากผ่านไป 45 นาที นักชีววิทยาทางทะเลก็บอกให้ทีมไปเอากระเป๋ามาแล้วหยิบหอยกาบชนิดหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ ถึงตอนนี้ทีมงานที่พัฒนาชิปเริ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงง ก่อนที่นักชีววิทยาคนนั้นจะอธิบายว่า หอยกาบนี้สามารถที่จะตรวจจับมลพิษได้ในระดับละเอียดมากๆ และเมื่อเจอมลพิษหอยกาบก็จะเปิดฝาออก ดังนั้น จึงไม่มีความจำหเป็นต้องมีชิปขนาดเล็กที่ลงทุนพัฒนาด้วยมูลค่าหลายแสนดอลลาร์ฯ อีกทั้งอุปกรณ์ตรวจจับนี้ยังกินได้อีกด้วย
เหตุการณ์ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้น หากมีการทำหนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) ที่เปิดรับความรู้ และไอเดียจากคนต่างอาชีพ แทนที่จะเน้นพัฒนาเชิงลึกในวิชาชีพเดียว การศึกษาของ Greg Satell พบว่า งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 18 ล้านชิ้น มักเป็นเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อ้างอิงต่อๆ กัน ไม่ค่อยมีการเปิดรับความรู้หรือทำหงานข้ามวิชาชีพ ซึ่งก็ไม่แปลกใจที่จะพบงานวิจัยในลักษณะของไมโครเซ็นเซอร์ตรวจจับมลพิษ
ดังนั้น การทำหนวัตกรรมจะต้องมีกลยุทธ์ เพราะนวัตกรรมคือ การแก้ปัญหา หากแต่ปัญหาแต่ละอย่างสามารถแก้ไขได้หลายวิธี แต่ละวิธีแก้ปัญหาได้ในระดับไม่เท่ากัน หมายความว่าไม่ได้มีคำตอบเดียวสำหหรับการทำหนวัตกรรม แต่สิ่งที่หลายองค์กรเป็นคือ การมีชุดคำหตอบหรือวิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว จึงทำหให้การทำหนวัตกรรมล้มเหลว คล้ายกับการเอาสี่เหลี่ยมไปวางบนวงกลม ซึ่งไม่มีทางเท่ากันพอดี เพื่อให้แต่ละองค์กรเลือกกลยุทธ์การทำหนวัตกรรมที่เหมาะสมกับตัวเอง Greg Satell บอกว่า ให้ตอบคำถาม 2 ข้อนี้ คำหถามแรกคือ คุณสามารถระบุปัญหาได้ดีแค่ไหน? คำหถามนี้หมายถึง การระบุถึงต้นตอของปัญหา สามารถชี้สาเหตุที่แท้จริงได้ ไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็น คำหถามที่ 2 คือ คุณสามารถระบุความรู้ความสามารถที่จะนำหมาใช้แก้ปัญหาได้ดีแค่ไหน? ความสามารถในที่นี้ครอบคลุมถึงการเลือกคนที่ถูกต้องจากวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง และมีเงินงบประมาณในการจ้างบุคลากรนั้นด้วย
คำหตอบจาก 2 คำหถามข้างต้น สามารถสรุปเป็นนวัตกรรมได้ 4 รูปแบบ คือ 1. Sustaining Innovation 2. Breakthrough Innovation 3. Disruptive Innovation 4. Basic Research
· Sustaining Innovation หรือนวัตกรรมที่ยั่งยืน เป็นนวัตกรรมส่วนใหญ่ที่เราพบเจอในชีวิตประจำหวัน ที่ว่ายั่งยืนเพราะเป็นการพยายามปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่ จากสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน นั่นคือรู้ปัญหาที่แท้จริง สัมผัสกับปัญหาโดยตรงจึงพยายามแก้ให้ตรงจุด และก็รู้ว่าจะต้องหาผู้เชี่ยวชาญสาขาใดบ้างมาช่วยแก้ปัญหา
องค์กรใดที่ตอบคำหถามทั้ง 2 ข้อว่า ดี กล่าวคือระบุปัญหาได้ดี และระบุความสามารถที่ใช้แก้ปัญหา ได้ดีเช่นกัน จะเข้าข่ายนี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการสร้างนวัตกรรม ได้แก่ การสร้างแล็บวิจัยและพัฒนาของตัวเองโดยเฉพาะ (R&D Labs) การนำหแนวคิด Design Thinking มาใช้ในองค์กร หรือการซื้อกิจการอื่นเพื่อหวังได้ทักษะใหม่จากพนักงานในบริษัทนั้น เช่น Google ซื้อ YouTube หรือ Facebook ซื้อ WhatsApp อีกตัวอย่างคือ Amazon ที่เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจออนไลน์ซื้อกิจการ WHOLEFOODS ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น
· Breakthrough Innovation อันนี้คล้ายกับเรื่องเล่าในตอนแรกที่กล่าวไปคือ ทีมงานสามารถระบุต้นตอของปัญหาได้ดีว่าจะตรวจจับมลพิษใต้น้ำได้อย่างไร หากแต่เลือกคนที่เกี่ยวข้องมาไม่ครบ หากดึงนักชีววิทยามาแต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเวลา หรือไม่ก็อาจได้ไมโครชิปแบบอื่นที่คุณสมบัติเหนือกว่าหอยกาบ องค์กรใดที่ตอบคำหถามข้อแรกว่า ดี แต่ข้อ 2 ตอบว่าไม่ค่อยดี จะเข้าข่ายนี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ควรใช้คือ กลยุทธ์นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) นั่นคือ การออกไปหาผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพอื่นมาช่วย หรือลองคิดในมุมธุรกิจอื่นบ้าง
ในเมืองไทยเดี๋ยวนี้เริ่มมี Open Innovation มากขึ้น ในรูปแบบของการประกวดนวัตกรรม ซึ่งทุกผลงานจะเล่าเรื่องราวตั้งแต่การพบปัญหา การลองแก้ไขในหลายวิธี มีทั้งลองแล้วผิดจนกระทั่งลองแล้วถูก ผลลัพธ์กว่าจะได้ตามเป้าหมายต้องใช้ความพยายามไม่น้อย เป็นต้น การส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจะทำหให้ได้มุมมองที่แตกต่าง โดยเฉพาะคำหถามและข้อเสนอแนะจากกรรมการที่หลากหลายวิชาชีพ จะมีประโยชน์อย่างมาก หรือหากยังไม่มีผลงานเข้าประกวดการเป็นแค่ผู้ชมงานก็ได้ประโยชน์เช่นกัน
“การทำนวัตกรรมต้องมีกลยุทธ์ เพราะนวัตกรรม คือการแก้ปัญหา หากแต่ปัญหาแต่ละอย่างสามารถแก้ไขได้หลายวิธี หมายความว่า ไม่ได้มีคำหตอบเดียวสำหหรับการทำหนวัตกรรม”
· Disruptive Innovation คำหนี้ถูกพูดถึงโดย Clayton Christensen ในหนังสือ The Innovator's Dilemma ซึ่งได้ศึกษาพบว่า ทำหไมบริษัทดีๆ ที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องถึงประสบปัญหา ทั้งที่ดำหเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ มีการฟังเสียงลูกค้า ให้ความสำหคัญการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เจอกับวิกฤต เพราะรูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่มาจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งเมื่อรู้ตัวก็ยากเกินจะสู้ได้แม้จะพยายามมีนวัตกรรมตัวสินค้ามากเพียงใด องค์กรใดที่อยู่ในสภาพนี้มีทางออกเดียวคือ ต้องนวัตกรรมที่โมเดลธุรกิจ ต้องคิดวิธีสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ต้องรีบหาจุดแข็ง (Competency) ใหม่ และหา จุดขายใหม่ (Value Proposition) องค์กรใดที่ตอบคำ้ถามข้อแรกว่าไม่ค่อยดี แต่ข้อ 2 ตอบว่าดี จะเข้าข่ายนี้ หมายความว่าแม้จะให้มีคนเก่งมาช่วยแก้ปัญหาแต่หากระบุปัญหาผิดตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็สูญเปล่า ตัวอย่างใกล้ตัวคือ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์
การถูก Disrupt จะไม่รู้ตัวล่วงหน้า องค์กรสมัยนี้จึงต้องทบทวนโมเดลธุรกิจเป็นประจำ้ว่าด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทุกวัน จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยเครื่องมือที่นิยมใช้คือ Business Model Canvas และ Value Proposition Canvas ซึ่งคิดโดย Alex Osterwalder โดยแผนภาพ (Canvas) จะช่วยเตือนได้ว่าสถานการณ์การแข่งขันเปลี่ยนไปหรือยัง
องค์กรที่ตอบคำ้ถามทั้ง 2 ข้อว่าไม่ค่อยดี จะเข้าข่าย Basic Research ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แม้จะไม่ใช่นวัตกรรมแต่หากทำ้ต่อเนื่องก็จะส่งผลดีในระยะยาว เพราะการค้นพบสิ่งใหม่บ่อยครั้งก็ไม่ได้ค้นพบแบบเต็มรูปแบบในครั้งแรก หากแต่เป็นการค่อยๆ เจอแล้วปรับให้เกิดสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ หลายองค์กรขนาดใหญ่ เช่น IBM และ P&G ที่มีงบประมาณ ก็ลงทุนสร้างแล็บเพื่อทำ้การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ทีละนิดก็ตาม บางองค์กร เช่น Experian's DataLabs ที่ใช้วิธีจัดสัมมนาภายใน ให้นักวิจัยและวิศวกรมาแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการทำ้งาน บางองค์กร เช่น Google ก็ใช้วิธีให้ทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเพื่อทำ้โปรเจกต์ต่างๆ ค้นหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
SME ที่ไม่มีทุนทำ้วิจัยหรือสร้างแล็บ ทางออกคือ การเป็นพาร์ทเนอร์กับภาคการศึกษาหรือหน่วย งานรัฐ ในเมืองไทยยังมีหน่วยงานอิสระและองค์กรมหาชนที่คอยสนับสนุน SME และเดี๋ยวนี้บริษัทเอกชนรายใหญ่ก็หันมาให้ความสำ้คัญและเปิดรับ พร้อมจับมือ SME มากขึ้น แต่ต้องดูด้วยว่า เป้าประสงค์และกลยุทธ์สอดคล้องกันหรือไม่
การทำ้นวัตกรรมมีหลายรูปแบบ แต่มีไม่บ่อยครั้งที่จะค้นพบสิ่งใหม่ยิ่งใหญ่ชัดเจน บางทีอาจได้ผลเพียงดีขึ้นเล็กน้อย แต่หากไม่หยุดพัฒนา สินค้าของเราก็จะไม่หลุดจากตลาดแน่นอน
สรรพ์ชัยย์ บูรณ์เจริญ nineclookclick@gmail.com, www.clookclick.com
นักวิเคราะห์ธุรกิจ ที่สนุกคิดกับการนำความเห็นของลูกค้ามาแปรให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ โดยผสมผสานแนวคิดการวิจัยตลาดแบบปัจจุบัน กับแสดงความคิดเห็นของลูกค้าในโลกออนไลน์ ปัจจุบันทำงานด้าน Digital Analytics รวมทั้งเป็นคอลัมนิสต์และนักเขียนอิสระ เจ้าของนามปากกา “นายขลุกขลิก”